ประเด็นท้าทาย
ประเด็นท้าทาย
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา(Anywhere Anytime)
เรื่อง วงจรไฟฟ้าสลับ ด้วยโมเดลการเรียนรู้ LPI model
ในรายวิชาการงานอาชีพ 3 (ง33101) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
การสอนวิชาการงานอาชีพ 3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2/2567 ได้อ้างอิงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ สาระที่ 2 การอาชีพ มาตรฐาน ง2.1
ตัวชี้วัด ม.4-6/4 คือ มีคุณลักษณะที่ดีต่ออาชีพ นั้น
การสอนวิชาการงานอาชีพที่ผ่านมา ผู้สอนได้พบประเด็นปัญหาที่สำคัญ คือ นักเรียนมีแนวคิดที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานอาชีพ โดยเฉพาะการต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น อาจมีสาเหตุเนื่องมาจากพื้นฐานประสบการณ์เดิม หรือการได้รับความรู้ที่
ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ คลุมเครือ เป็นผลให้ได้ข้อสรุป ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นผลทำให้นักเรียนไม่กล้าคิด และลงมือปฏิบัติเกี่ยวกับงานวงจรไฟฟ้ากระแสสลับจนนักเรียนไม่บรรลุเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนเรื่องดังกล่าว
ดังนั้น ครูผู้สอนจึงจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานประเด็นท้าทายโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบกรณีศึกษา(Case Study) และรูปแบบปัญหาเป็นฐาน(Problem Based Learning) เข้ามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านทักษะการต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ และใช้สื่อการเรียนรู้ในรูปแบบ Anywhere Anytime เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาบทเรียนได้ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ตามโมเดลการเรียนรู้ LPI Model (Learning-Practice-Innovation) ในรายวิชาการงานอาชีพ 3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านแป้งวิทยา
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
1) ศึกษาสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้วิชาการงานอาชีพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6
จากหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านแป้งวิทยา รวมทั้งจากหนังสือเรียนรายวิชางานช่าง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ในเรื่องที่
เกี่ยวข้องกับงานไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น และอื่น ๆ ตามที่เกี่ยวข้อง
2) ศึกษาวิธีการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น โดยศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและนำข้อมูลที่มาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ จัดทำแผนการเรียนรู้ ที่ประกอบด้วย สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด(รายวิชาพื้นฐาน) สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ชิ้นงาน/ภาระงาน(หลักฐาน/ร่องรอยแสดงความรู้) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล รวมทั้งบันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้
3) นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้คุณครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพพิจารณาตรวจสอบส่วนประกอบต่าง ๆ รายละเอียด
ของแผนการจัดการเรียนรู้ความเหมาะสมของรูปแบบกิจกรรม ความสอดคล้องในการดำเนินกิจกรรม วิธีการประเมินผล และภาษาที่ใช้
เพื่อนำข้อบกพร่องมาแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ และเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อพิจารณาความเหมาะสมขององค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว
4) สร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง การต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ตามขั้นการคิดวิเคราะห์ของอนุกรมวิธานของบลูม (Bloom's Taxonomy) แบบ 4 ตัวเลือก จากนั้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน
เพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และปรับปรุงแก้ไข
5) นำแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบวัดผลสัฤทธิ์ทางการเรียนไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
6) เมื่อสิ้นสุดการสอนตามกำหนดแล้วจึงทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบการคิดวิเคราะห์ซึ่งเป็นฉบับเดิม
7) นำผลคะแนนที่ได้จากการตรวจแบบทดสอบการคิดวิเคราะห์ มาวิเคราะห์โดยวิธีการทางสถิติด้วยการทดสอบที(t-test) เพื่อทดสอบสมมติฐาน และแจ้งผลการทดสอบให้นักเรียนรู้เป็นรายบุคคล
3. ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวนทั้งหมด 10 คน ของภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ได้รับการการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เรื่อง การต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น ด้วยรูปแบบการเรียนรู้กรณีศึกษาภายใต้ LPI Model โดยมีคะแนนทดสอบหลังเรียนผ่านเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด
2) ครูผู้สอนมีสื่อการสอนรูปแบบ Anywhere Anytime เรื่องการต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา
3.2 เชิงคุณภาพ
1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวนทั้งหมด 10 คน ของภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ได้รับการการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เรื่อง การต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น ด้วยรูปแบบการเรียนรู้กรณีศึกษา ภายใต้ LPI Model
2) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวนทั้งหมด 10 คน ของภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ได้ใช้สื่อการเรียนรู้รูปแบบ Anywhere Anytime เรื่อง การต่อวงจรไฟฟ้ากระแสสลับเบื้องต้น มีความพึงพอใจตั้งแต่ระดับพอใจมากขึ้นไป
4. ผลการเรียนของผู้เรียน
จากตารางแสดงผลคะแนนของประชากร(นักเรียนชั้น ม.6) ที่ทำแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนจำนวน ผู้เข้าสอบทั้งหมด 10 คน สรุปได้ว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 3.60 คิดเป็นร้อยละ 36.00 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 8.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 เห็นได้ว่าคะแนนสอบหลังเรียนมีค่ามากกว่าคะแนนสอบก่อนเรียน ผลแสดงให้เห็นได้ว่าผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น หากนำมาพิจารณาค่าตามสถิติ จากตารางค่า t (t-distribution) ชั้นความอิสระที่ 9 (จาก 10 - 1 = 9) ได้ค่าวิกฤตของ t ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
มีค่าเท่ากับ 1.833 เมื่อพิจารณาระดับนัยสำคัญ จะเห็นได้ว่าค่า t ที่คำนวณได้สูงกว่าค่าวิกฤตของ t ในตารางค่า t-test (ภาคผนวก)
ที่นัยสำคัญ 0.05 (10.3075 > 1.833) จะเห็นได้ว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยโมเดล LPI
โดยใช้สื่อการสอนรูปแบบ Anywhere Anytime
5. ความพึงพอใจของผู้เรียน
จากตารางผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจ ของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการเรียนผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยโมเดล LPI โดย
ใช้สื่อการสอนรูปแบบ Anywhere Anytime พบว่า ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน มีคะแนนการประเมินเฉลี่ยระดับพอใจมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.85, S.D.0.08) ด้านการวัดและประเมินผลการเรียน มีคะแนนการประเมินเฉลี่ยระดับพอใจมากที่สุด ( ค่าเฉลี่ย 4.80, S.D. 0.35) ด้านการจัดสภาพแวดล้อม มีคะแนนการประเมินเฉลี่ยระดับพอใจมากที่สุด ( ค่าเฉลี่ย 4.77, S.D. 0.27) และผลเฉลี่ยภาพรวม
มีคะแนนการประเมินอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด ( ค่าเฉลี่ย 4.81, S.D. 0.14) สรุปได้ว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยโมเดล LPI โดยใช้สื่อการสอนรูปแบบ Anywhere Anytime อยู่ในเกณฑ์ระดับพอใจมากที่สุด